บริการของเรา
" หนึ่งในคลินิกชั้นนำที่ได้รับการรับรองให้มีการตรวจ 'เซลล์บำบัด' "
WHOLE BODY SCAN AND BLOOD CHECKING

Screening for Anti-Aging

โปรแกรมตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาสาเหตุของการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เน้นการป้องกันโรคและวางแนวทางการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลรวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพและชะลอความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งทางคลินิกจะจัดทำรายงานสุขภาพเฉพาะบุคคล (Anti-aging Passport) ด้วยรูปแบบที่อ่านเข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีการแนะนำการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลรวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพและชะลอความเสื่อมของร่างกาย ผ่านรายงานสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล (Anti-aging Passport) ด้วยรูปแบบที่อ่านเข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง มาตรฐานเดียวกันกับในอเมริกาและยุโรป ในโปรแกรมจะมีการตรวจการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น
  • ตรวจการทำงานของตับ
  • ตรวจการทำงานของไต
  • ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • ตรวจสมดุลฮอร์โมน ในร่างกาย
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  • ตรวจวัดความเสี่ยงการอุดตันของผนังหลอดเลือด
  • ตรวจหาความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ เบาหวานและโรคร้ายอื่น ๆ
  • ระดับสารอนุมูลอิสระในร่างกายและค่าการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  • ระดับความเครียดและค่าการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นการตรวจร่างกายเน้นดูการทำงานทุกระบบในร่างกายอย่างละเอียด เพื่อป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
ควรเริ่มต้นโปรแกรมชะลอวัยเมื่อใด ?
เริ่มต้นก่อนที่ร่างกายเกิดความเสื่อมที่ถาวร เนื่องจากการแก้ไขและฟื้นฟูสภาพจะทำได้ดีกว่า โดยในสตรีควรเริ่มที่อายุ 30 ปี และผู้ชายอายุ 40 ปี

การเตรียมตัวเพื่อการตรวจแบบโปรแกรมชะลอวัย
เนื่องจากการตรวจสุขภาพแบบชะลอวัย เป็นการตรวจร่างกายในภาวะที่คุณใช้ร่างกายตามปรกติ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ และไม่จำเป็นต้องอดอาหารก่อนการตรวจเลือด

โปรแกรมชะลอวัย Anti-Aging Program
การซักประวัติ โดยแพทย์จะเก็บข้อมูลสุขภาพตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันโดยละเอียด เพื่อใช้วิเคราะห์ ประเมินและรักษาคนไข้ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

แนวทางการรักษาของโปรแกรมชะลอวัย
เน้นการรักษาแบบเฉพาะบุคคลที่เหมาะสมกับคุณ จากข้อมูลที่ได้การประเมินผล โดยอาจเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น
  • การรับประทานอาหาร ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะประเมินผลและเสนอแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันและรักษาความเสื่อมในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ฯลฯ
  • การใช้วิตามิน เกลือแร่ และอาหารเสริม ในปริมาณและรูปแบบที่เหมาะสมต่อการออกฤทธิ์เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายสูงสุด เพื่อการรักษา ปรับสมดุลของร่างกาย และลดความเสื่อมที่เกิดในร่างกาย
  • ปรับการออกกำลังกาย ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัด ที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลเพื่อลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ กระตุ้นฮอร์โมนต่าง ๆ ให้ทำงานได้เต็มที่ และลดความเสี่ยงต่อโรค เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดไขมันสะสมในร่างกาย
  • การจัดการความเครียดแฝง ด้วยหาสาเหตุของความเครียด จัดการกับความเครียดภายในร่างกาย อันเกิดจากการอักเสบเรื้อรังต่างๆ ที่แฝงอยู่ภายในร่างกายคุณ

Food Allergy test

ทุกวันนี้หลายคนพยายามคัดสรรอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทำไมอาหารที่มีประโยชน์เหล่านั้นบางชนิดอาจส่งผลเสียแก่ร่างกายของเรา และสามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ นั่นจึงเป็นที่มาของโรคที่มีชื่อว่า "ภูมิแพ้อาหารแอบแฝง" อันตรายใกล้ตัวที่ต้องรู้และเตรียมพร้อมรับมือกับอาการที่จะเกิดขึ้น

โรคภูมิแพ้อาหารสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
  • การแพ้อาหารเฉียบพลัน (Food Allergy) เป็นแอนติบอดีชนิด (lgE) ซึ่งมักเกิดขึ้นทันที หรือหลังจากการรับประทานอาหารไปไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยสามารถทราบอาการได้เองเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น การแพ้อาหารทะเล เมื่อรับประทานกุ้ง ปู หรือปลาหมึก ก็จะเกิดอาการผื่นคันขึ้น แพ้สารจากเกสรดอกไม้ แพ้ฝุ่นละออง ฯลฯ เหล่านี้เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำ ปฏิกิริยาโดยตรง จึงส่งผลให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ โดยมีความรุนแรงหลายระดับ เช่น ถ้าแพ้มาก ๆ จะหายใจไม่ออก บวม ปากบวม การรักษาเบื้องต้นคือการรับประทานยาแก้แพ้ แต่ถ้าอาการรุนแรงมาก ๆ ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล จากนั้น แพทย์จะฉีดยาแก้แพ้และยาสเตียรอยด์เพื่อควบคุมการอักเสบไว้ไม่ให้ลุกลาม
  • การแพ้อาหารแอบแฝง (Food Intolerance) เป็นแอนติบอดีชนิด (lgG) ที่ไม่แสดงอาการทันที แต่ก่อให้เกิดผลเรื้อรัง ในระยะยาว ซึ่งอาการที่ปรากฏจะสังเกตได้ยากกว่าอาการแพ้อาหารเฉียบพลัน ส่วนโรคภูมิแพ้อาหารแอบแฝงเกิดจากการ แพ้อาหารที่รับประทานโดยไม่รู้ตัว เช่น บางคนกินช็อกโกแลต หรือดื่มนมวัวเป็นประจำ ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้ สำหรับ อาการของโรคนี้ในกลุ่มเสี่ยง จะมีอาการแสดงออกเมื่อรับประทานอาหารต่าง ๆ ผ่านไป 3-5 วัน หรือสะสมเรื้อรังนานนับปี โดยมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียไม่ทราบสาเหตุ แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เซื่องซึม เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวด ข้อ ปวดเข่า อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขอบตาดำ น้ำหนักไม่ลง อ้วนง่าย ประจำเดือนมาไม่ปกติ ถ้าเป็นในเด็ก พัฒนาการ สมองช้า สมาธิสั้น ซุกซนมากผิดปกติ อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว ส่วนอาการตามร่างกายที่ชัดเจน คือผิวหนังจะลอก มีผื่น แดง คันตามผิวหนัง ลมพิษ คัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน และเป็นแผลในปาก เป็นต้น
ทำไมต้องตรวจภูมิแพ้ต่ออาหาร
ร่างกายของคนเรามีปฏิกิริยาตอบสนอง หรือการแพ้อาหารที่เรารับประทานในระดับที่แตกต่างกัน การแพ้อาหารในรูปแบบของผื่นลมพิษ (Urticaria Rash) หรือการหอบหืด (Asthmatic attacks) เป็นรูปแบบการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมผ่าน Immunoglobulin E หรือ IgE หรือ Acute Food Allergy ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีอย่างรวดเร็วหลังการรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ ปฏิกิริยาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้ช้า นับเวลาเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน หลังการรับประทานอาหารนั้นๆ เป็นรูปแบบการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมผ่าน Immunoglobulin G หรือ IgG หรือ Food Intolerance ปฏิกิริยารูปแบบนี้เกิดจากการรับประทานอาหารชนิดเดิมอย่างซ้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมา จนร่างกายแสดงอาการออกมาในรูปแบบการสร้าง IgG ตอบสนองต่ออาหารซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอม อาการแสดงจะแตกต่างกันออกไปในระหว่างบุคคล แต่โดยมากแสดงออกในรูปผื่น อาการคันตามผิวหนัง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกง่วงผิดปกติ เมื่อเรายังรับประทานอาหารตัวเดิมต่อ ก็เหมือนเป็นการบั่นทอนสุขภาพ สะสมต่อเนื่องจนก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น กลุ่มโรคแพ้ภูมิตนเอง โรคระบบลำไส้รั่ว ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือแม้แต่เกิดการรบกวนระบบประสาทและความจำ เช่น ในภาวะสมาธิสั้น เครียด ไมเกรน เป็นต้น

ทราบได้อย่างไรว่า อาหารนั้นไม่เหมาะสมกับเรา
เราสามารถทราบได้ว่าเรามีภาวะภูมิแพ้แอบแฝงกับอาหารชนิดใดนั้นได้ด้วยตัวเอง คือ การสังเกตอาการผิดปกติด้วยตัวเองหลังรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ ซึ่งยากมาก ต้องจดสถิติไว้เป็นขั้นเป็นตอน อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายกว่าคือ ส่งเลือดตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ Food Allergy IgG หรือ Food Intolerance Test ซึ่งจะรายงานผลการตรวจออกมาเป็นระดับการแพ้ต่ออาหารแต่ละรายการ

การแพ้อาหารแบบแอบแฝง (IgG) ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
  • ปวดศีรษะ ไมเกรน
  • ภาวะสมาธิสั้น
  • หดหู่ กังวลใจ
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบหืด
  • แผลในปากเรื้อรัง
  • สิว และผดผื่น
  • ท้องผูก จุกเสียดแน่นท้อง
  • ลดน้ำหนักได้ยาก
  • ปวดกล้ามเนื้อ  คันหรืออักเสบที่ผิวหนัง
  • เคืองตา ปวดกล้ามเนื้อบริเวณรอบตา ขอบตาช้ำ
  • คลื่นไส้อาเจียน  มีแผลในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
  • ท้องเสีย  ลำไส้ระคายเคือง (IBS)
  • ความผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตนเอง, โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, SLE

Electro Interstitial Scan

เทคโนโลยีการตรวจสุขภาพระดับเซลล์ด้วยการตรวจคัดกรองการทำงานของเซลล์แต่ละอวัยวะในเบื้องต้นอย่างละเอียด ช่วยค้นความผิดปกติและความเสื่อมที่ซ่อนเร้นและในร่างกาย ตรวจคัดกรองปัญหาสุขภาพก่อนการเจ็บป่วยได้อย่างแม่นยำ อาทิ ระบบสมองและสารสื่อประสาทที่ควบคุมความคิดและจิตใจความเครียดแอบแฝง ระดับสารอนุมูลอิสระ ภาวะพร่องฮอร์โมน การสะสมสารพิษ ภูมิไวเกินซ่อนเร้นจากการแพ้อาหาร เป็นต้น ทำให้ทราบข้อมูลและรายละเอียดภาพรวมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาในการปรับสมดุลของอวัยวะที่เริ่มมีความผิดปกติ ได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกๆ ป้องกันโรคหรือความผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ และหาวิธีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมได้อย่างถูกต้องและตรงจุดมากขึ้น ก่อนการส่งตรวจด้วยวิธีที่จำเพาะต่อการวินิจฉัยต่อไป

EIS Scan เป็นเทคโนโลยีจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการพัฒนามากว่า 70 ปี เพื่อใช้ตรวจคัดกรองปัญหาสุขภาพในหลายสถาบันของยุโรป เช่น โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์และกุสตาฟ รัซซี่ในปารีส โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยฮาร์วาดกำลังเก็บข้อมูลวิธีการตรวจติดตามควบคู่ไปกับการตรวจวินิจฉัยโดยวิธีดั้งเดิมเทคโนโลยีดังกล่าวยังได้รับการรับรองโดย ISO 9001 และมาตรฐานการควบคุมในยุโรป (European regulatory approval CE 0459) และได้รับการรับรองว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์จาก FDA ของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้วิธีการตรวจนี้แพร่หลายในกว่า 20 ประเทศ เช่น แคนาดา อิสราเอล จีน และเกาหลี เป็นต้น

EIS Scan ทำงานอย่างไร
เป็น biosensor ที่ใช้หลักการส่งผ่านกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำมาก เข้าสู่ร่างกายโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น เพื่อตรวจสอบความต้านทานของเนื้อเยื่อในแต่ละอวัยวะว่ามีความผิดปกติอย่างไร การที่เซลล์หรืออวัยวะต่างๆมีสารชีวเคมี หรือมีการทำงานที่ผิดปกติ(malfunction) มากเกินไป (hyper-function) หรือน้อยเกินไป (hypo-function) ก็จะสะท้อนสัญญาณไฟฟ้าตอบกลับที่แตกต่างกันออกไป เครื่องจะทำการสแกน 3 รอบใช้เวลาประมาณ 4-5นาที จากนั้นคอมพิวเตอร์จะประมวลผลของการนำกระแสที่คาดเคลื่อนนั้น (conductivity of tissue) ออกมาเป็นการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะนั้นๆเป็นการตรวจคัดกรองรายละเอียดการทำงานของเซลล์แต่ละอวัยวะในเบื้องต้น เพื่อส่งตรวจด้วยวิธีที่จำเพาะต่อการวินิจฉัยต่อไป ในบางรายที่ความผิดปกติไม่รุนแรง EIS จะสามารถปรับสภาพการทำงานของอวัยวะนั้นได้เลยโดยส่งกระแสไปปรับ biofeedback ของอวัยวะที่มีการทำงานผิดปกตินั้นๆ

EIS Scan มีประโยชน์อย่างไร
ทำให้เราได้ข้อมูลและรายละเอียดที่เป็นภาพรวมของการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย รวมทั้งระดับสารสื่อประสาทที่ควบคุมความคิดและจิตใจของเราได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้เราสามารถเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม สามารถวางแผนการรักษาในการปรับสมดุลของอวัยวะที่เริ่มจะมีความผิดปกตินั้นได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกๆ เพื่อป้องกันโรคหรือความผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ การรายงานผลจะให้ข้อมูลของอวัยวะต่างๆที่มีสารชีวเคมีผิดปกติหรือเสียสมดุลจนมีโอกาสเกิดโรคขึ้นได้นับตั้งแต่ส่วนประกอบต่างๆในร่างกาย เช่น สารน้ำ ปริมาณกล้ามเนื้อ ปริมาณไขมัน ระดับเกลือแร่ที่สำคัญ ระดับฮอร์โมน สมดุลของสารสื่อประสาทและการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายทำให้แพทย์ได้รายละเอียดของปัญหาที่เกิดจากทั้งร่างกายและจิตใจเชื่อมโยงทั้งหมด นำไปสู่การส่งตรวจที่จำเพาะแม่นยำและการรักษาที่เหมาะสมที่แก้ไขปัญหาให้ กับคนไข้ได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมการดูแลรักษาแบบองค์รวมได้ดี (Holistics Medicine) ยิ่งขึ้น

EIS Scan มีอันตรายต่อร่างกายหรือไม่
การตรวจสแกนอาศัยเพียงกระแสไฟฟ้าที่ต่ำมากๆ ไม่ใช่คลื่นเสียง รังสีหรือการปล่อยสารเคมีใดๆเข้าสู่ร่างกายแม้แต่น้อย จึงไม่มีการรบกวนระบบต่างๆของร่างกายเลยจาก จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน
ตรวจอะไรได้บ้าง
เทคโนโลยี Electro Interstitial Scan (EIS) เป็นการตรวจเพื่อช่วยคัดกรองรายละเอียดการทำงานของเซลล์ในแต่ละอวัยวะได้อย่างครบถ้วน ในเบื้องต้นผลการตรวจจะช่วยให้เราทราบว่า มีอวัยวะส่วนไหนของร่างกายอยู่ในภาวะที่ผิดปกติในขณะที่ตรวจ และบอกระดับความเสื่อมของร่างกาย แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีอาการแสดงของโรคให้เราเห็นก็ตาม จึงเป็นแนวทางการตรวจเพื่อการวางแผนป้องกันการเกิดโรคได้เป็นอย่างดี และสามารถประเมินวิเคราะห์ความเสื่อมของเซลล์ หรือบ่งชี้พยาธิสภาพของอวัยวะภายในได้ทั้งหมด 37 อวัยวะ รวมเป็น 9 ระบบการทำงานของร่างกาย คือ
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด / Cardiovascular functions
  • ระบบต่อมไร้ท่อ / Endocrine functions
  • ระบบขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ / Urogenital and renal functions
  • ระบบสั่งการของประสาทและกล้ามเนื้อ / Neuromuscular functions
  • ระบบการหายใจ / Respiratory functions
  • ระบบการย่อยอาหาร / Digestive functions
  • ระบบประสาทและสมอง / Neurologic functions
  • ระบบการเผาผลาญอาหาร / General metabolic functions
  • ระบบภูมิคุ้มกัน ภูมิแพ้ การติดเชื้อ และระบบทางเดินหายใจ / Immune functions (allergic risk, infectious risk and ENT risk)
* ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไป แล้วแต่บุคคล *